คุณยังไม่มีสินค้าในรถเข็น
ความเป็นมาของ เครื่องประดับตกแต่งกายสุภาพบุรุษโลก by Mr. AR
วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน ค.ศ. 2019 12 นาฬิกา 26 นาที 00 วินาที Asia/Bangkok
ANGELINO RUFOLO สวัสดีครับ ~ เครื่องประดับ ไม่ว่าจะเป็น ของผู้หญิง หรือ ของผู้ชาย ดั้งเดิมมีมาตั้งแต่สมัยอดีต เราสามารถจำแนก เครื่องประดับตกแต่งกายชาย ออกเป็น 3 กลุ่มใหญ่ๆ ได้แก่
1.เครื่องประดับที่เน้นการใช้งานเป็นหลักใหญ่ เช่น รองเท้า , เข็มขัด , นาฬิกา , หมวก (Hat) เป็นเครื่องประดับที่แสดงความเป็นทางการ , สายเอี๊ยม (Suspender) , ผ้าเช็ดหน้า (Handkerchief) , ผ้าพันคอ (Scarf) , มันนี่คลิป (Money Clip) , กล่องใส่เครื่องประดับ (Jewelry Box)
2.เครื่องประดับกึ่งการใช้งาน เช่น เข็มกลัด , นาฬิกาพก , สร้อยคอทองคำ หรือ สร้อยโลหะในสมัยโบราณ ที่ใช้สำหรับเก็บกุญแจ หรือ แขวนไม้กางเขนสำหรับผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์ , กระดุม (Stud) ชนิดต่างๆ , เนคไท (Necktie) , โบว์ไท (Bow Tie) , (คัฟลิงค์ Cufflink) , เข็มหนีบไท (Tie Clip) , เข็มไท (Tie Pin) , เข็มกลัดสูท (Pin Suit) , ที่ดันปกเสื้อ (Collar Stay) , เข็มกลัดปกเสื้อ (Collar Pin)
3.เครื่องประดับเพื่อความสวยงามเพียงอย่างเดียว เช่น สร้อยคอ (Necklace) , สร้อยข้อมือ (Bracelet) , จี้ (Pendant) , แหวน (Ring) , โซ่คล้องปกเสื้อ (Collar Chain)
วิวัฒนาการการใช้เครื่องประดับตกแต่งกาย ปัจจุบัน ผู้ชายที่ใส่เครื่องประดับ อย่างเช่น ต่างหู หรือ กำไล อาจถูกมองว่า เจ้าสำอางไปหน่อย หรือไม่ก็ ไม่ใช่ชายแท้ แต่ในประวัติศาสตร์ เครื่องประดับผู้ชาย มีบทบาทกับชีวิตประจำวันมาก โดยเฉพาะเป็น เครื่องแสดงสถานะ จนศตวรรษที่ 15-16 ซึ่งสังคมเจริญขึ้น มีการใช้ ทองคำ และ อัญมณี มาตกแต่งเป็นเครื่องประดับ เพื่อแสดงถึงความเจริญของยุคสมัย
ในยุคนี้เอง ผู้ชาย ใช้เครื่องประดับมากกว่า ผู้หญิง เสียอีก ที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก ในสมัยอดีต ผู้ชาย มักมีตำแหน่งที่สูง และ เป็นผู้นำสังคม ทั้งใน ยุโรป จีน และ อินเดีย ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ ผู้ชาย เป็น นักรบ กษัตริย์ และ ผู้นำทางศาสนา ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีความพิเศษ จึงต้องมีการแต่งตัว หรือ ใช้เครื่องประดับที่โดดเด่นกว่าคนธรรมดาทั่วไป ดังนั้นเครื่องประดับของชนชั้นปกครองนี้จึงอลังการมาก
พอเข้าสู่ยุคล่าอาณานิคม การใช้เครื่องประดับสำหรับ หญิง ชาย มีมากพอๆกัน แต่จุดที่เปลี่ยนไปอย่างมาก คือ ศตวรรษที่ 17–19 มีการคิดค้น เครื่องจักรไอน้ำ ลักษณะการแต่งกายในยุคนี้ ผู้หญิง ก็ยังใช้เครื่องประดับตามร่างกาย แต่ ผู้ชาย กลับใช้เครื่องประดับที่น้อยลง อย่างเช่น ผู้ชายอังกฤษ หันมาสวมสูทที่เรียบง่าย แต่อย่างไรก็ตาม เครื่องประดับกึ่งการใช้งาน ทั้งเข็มกลัด , กระดุม (Stud) ชนิดต่างๆ , คัฟลิงค์ (Cufflink) ชนิดต่างๆ รวมทั้ง เข็มไท (Tie Pin) , เข็มกลัดปกเสื้อ (Collar Pin) รวมทั้ง หัวเข็มขัด ที่สลักเป็น ตราสถาบัน ตราประจำตระกูล หรือ นาฬิกาพก ก็ยังมีบทบาท อยู่เช่นเดิม
ปัจจุบันมนุษย์ทุกคนต้องการให้ตัวเองดูดี ไม่ว่าเพศชาย หรือ เพศหญิง และ เครื่องประดับตกแต่งกายชาย ได้เข้ามามีบทบาทอย่างมาก ในการแต่งกายของ สุภาพบุรุษ สุภาพสตรี ทั่วโลก ซึ่งเห็นได้จาก นักร้อง นักแสดง นายแบบ ฯลฯ ที่ปรากฏอยู่ตาม รายการโทรทัศน์ รายการข่าว ละคร ภาพยนตร์ นิตยสาร โปสเตอร์ ฯลฯ ต่างหันมาแต่งกายแบบบูติก สไตล์อิตาเลี่ยน ซึ่งให้ความรู้สึก ดูดี มีระดับ ทั้งรสนิยม และ ราคา
กระแสการแต่งตัวแนวบูติกในตอนนี้ ได้แพร่ขยายไปอย่างรวดเร็ว จนเป็นเทรนด์การแต่งกายของ ทุกเพศ ทุกวัย ที่มาแรงมากในสมัยนี้ ทำให้เกิดกลุ่มของคนที่ชอบแต่งตัวในแนวบูติก หลากหลายกลุ่ม หลากหลายแนว หลากหลายสไตล์ต่างๆ ขอยกตัวอย่างเช่น กลุ่มเมโทรเซ็กชวล กลุ่มอินดี้ กลุ่มวินเทจ และยังมีกลุ่มต่างๆอีกมากมายเช่น กลุ่มแต่งตัวลำลอง กลุ่มแต่งตัวทางการ กลุ่มแต่งตัวปาร์ตี้ กลุ่มนักธุรกิจ กลุ่มบิ๊กไบค์ กลุ่มฮิปฮอป กลุ่มร็อค กลุ่มป๊อป ฯลฯ ขึ้นมา ทั้งยังเกิดกลุ่มที่ชอบเสาะแสวงหา เก็บสะสม เครื่องแต่งกายบูติกแนวต่างๆอีกด้วย
กลุ่มเมโทรเซ็กชวล
กลุ่มอินดี้
กลุ่มวินเทจ
การเลือกใช้เครื่องประดับตกแต่งกายชาย สุภาพบุรุษชนชั้นสูง อย่างเช่น ในสังคมยุโรป จะนิยมใช้เครื่องประดับ อย่างเช่น เข็มหนีบไท (Tie Clip) , เข็มกลัดปกเสื้อ (Collar Pin) หรือ Collar Clip คือ เข็ม ที่เสียบกลัด หรือ หนีบ คอปกเสื้อเชิ้ต กระดุม (Stud) ทั้งเป็น ทองคำ หรือ โลหะอื่นๆ และที่ลืมเสียไม่ได้คือ คัฟลิงค์ (Cufflink) ซึ่งถือว่าเป็น สิ่งจำเป็น และ สำคัญมากสำหรับ เสื้อเชิ้ตผู้ชาย ซึ่งมีการออกแบบอย่างสวยงาม ส่วนใหญ่ทำด้วย ทองคำฝังอัญมณีชนิดต่างๆ หรือ มีการออกแบบ แกะสลักให้งดงามประณีต
เครื่องประดับสำหรับกลุ่มคนที่ แสดงถึงชนชั้น และ ตำแหน่งหน้าที่การงาน อย่างเช่น นายทหารระดับสูงจากเหล่าทัพต่างๆ มักนิยมสั่งทำ กระดุมชนิดพิเศษ ที่แสดงถึง องค์กร หรือ เหล่าทัพของเขา ซึ่งกระดุมเหล่านี้ก็ถือเป็น เครื่องประดับ ของชนชั้นปกครอง
สำหรับแนวการเลือกใช้ เครื่องประดับผู้ชาย มีหลักการเลือกดังนี้ คือ เลือกให้เหมาะกับสไตล์ และ รูปร่างตัวเอง และ เลือกใช้ให้เหมาะกับกาลเทศะด้วย
ผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ที่ต้องเข้าร่วมประชุมในระดับสากล ปลายเสื้อเชิ้ตควรติด คัฟลิงค์ (Cufflink) หรือใช้ เข็มหนีบไท (Tie Clip) กับ เนคไท (Necktie) จะทำให้ดูดี ภูมิฐาน น่าเชื่อถือ และ สำคัญมาก สำหรับสุภาพบุรุษที่ได้รับเชิญไปออกงานกลางคืน ชุดผู้ชายออกงานกลางคืน ที่มีระบุในการ์ดเชิญว่า เครื่องแต่งกายเป็นแบบ Black Tie หรือ White Tie เสื้อเชิ้ตสีขาวที่ใช้สวมไปงานกลางคืนนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมี กระดุม (Stud) ประดับประดาด้วยอัญมณีที่เข้ากันกับ คัฟลิงค์ (Cufflink)
สถานที่เลือกซื้อเครื่องประดับตกแต่งกายชาย สามารถซื้อได้ที่ ร้าน ANGELINO RUFOLO ในแผนกผู้ชาย ตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วไป หรือทาง Website , Facebook , Instagram และ LINE ของแบรนด์ AR มีสินค้าจำหน่าย ได้แก่ เนคไท (Necktie) , โบว์ไท (Bow Tie) , คัฟลิงค์ (Cufflink) , สายเอี๊ยม (Suspender) , สร้อยคอ (Necklace) , สร้อยข้อมือ (Bracelet) , จี้ (Pendant) , แหวน (Ring) , เข็มหนีบไท (Tie Clip) , เข็มไท (Tie Pin) , เข็มกลัดสูท (Pin Suit) , ที่ดันปกเสื้อ (Collar Stay) , เข็มกลัดปกเสื้อ (Collar Pin) , โซ่คล้องปกเสื้อ (Collar Chain) , กระดุมสูท (Stud) , ผ้าเช็ดหน้า (Handkerchief) , หมวก (Hat) , ผ้าพันคอ (Scarf) , มันนี่คลิป (Money Clip) และ กล่องใส่เครื่องประดับ (Jewelry Box)
Necktie : เกิดขึ้นมาในช่วงศตวรรษแรกก่อนคริสตกาล สมัยนั้นพออากาศร้อน ทหารโรมัน จะใช้ ผ้าชุบน้ำพันคอ เรียกว่า Focale เพื่อบรรเทาความร้อน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ทั้งยังไม่ได้ก่อให้เกิดความสวยงามพอจะเป็นที่นิยมกันกว้างขวางได้ และแล้วเรื่องราว แหล่งกำเนิดของเนคไท ก็ไม่พ้นวงการทหารอีก แต่เป็นทหารอีกกลุ่มหนึ่ง
ในปี ค.ศ.1668 ชาวโครแอท เป็นชนกลุ่มน้อยในแคว้นโครเอเทียของยูโกสลาเวีย ส่วนหนึ่งรับจ้างเป็นทหารให้ออสเตรีย โดยประจำการที่ประเทศฝรั่งเศส ทหารรับจ้างกลุ่มนี้มีเครื่องแบบเป็น ผ้าพันคอ ทำด้วย ผ้ามัสลิน และ ผ้าลินิน อย่างไรก็ดี ผ้าพันคอของทหารทั้งสองกลุ่ม มีวัตถุประสงค์ในการใช้ต่างกัน คือ เพื่อประโยชน์ใช้สอย และ เป็นสัญลักษณ์ของหมู่เหล่า หรือ เครื่องแบบนั่นเอง แต่ยังเข้าไม่ถึงสังคมแฟชั่น จนเมื่อ ชาวฝรั่งเศส ทั้งชาย และ หญิง ซึ่งได้ชื่อว่า หายใจเข้าออกเป็นแฟชั่น ได้ไอเดีย แต่งตัวผู้ชายออกงานปาร์ตี้ และ เริ่มนิยมใช้ ผ้าลินิน และ ผ้าลูกไม้ พันรอบคอ แล้วผูกไว้ตรงกลางด้านหน้าของคอ โดยปล่อยชายยาว แฟชั่นนี้เผยแพร่ไปถึง อังกฤษ อย่างรวดเร็ว ชาวอังกฤษนิยมกันจนถึงขั้นคลั่งไคล้ โดยเฉพาะเมื่อ พระเจ้าชาร์ลส์ที่สอง แห่งอังกฤษ ทรงแต่งนำ และ พสกนิกรพากันทำตาม ขณะนั้นเป็นช่วงที่วงการแฟชั่นเฟื่องฟูอย่างยิ่ง ชนิดที่ว่ามองไปทางไหนก็ต้องเห็น
ยุคนี้เองที่แฟชั่น ผ้าผูกคอ มีหลายแบบ เช่น แบบห้อยชายยาวลงมา แบบหูกระต่าย ผ้าที่ใช้ก็มีต่างกัน เป็นผ้าพื้น ผ้าลาย ขนาดของผ้ามีทั้ง เป็นเส้นผอมๆ หรือ ขยายบานออกตรงปลาย จนมาเป็น เนคไท ปัจจุบัน
Bow Tie : หูกระต่าย เดิมทีนักประวัติศาสตร์แฟชั่นเสื้อผ้าเชื่อว่า โบว์อันเล็กๆ ที่ติดไว้บนปกคอเสื้อนี้ พัฒนามาจาก ผ้าผูกคอแบบชายยาว แต่ต่อมามีผู้โต้แย้งว่า ชาวโครแอท ผูกหูกระต่าย มาก่อนหน้านั้นหลายศตวรรษแล้ว หูกระต่าย ของชาวโครแอท พับจากผ้าเช็ดหน้าสี่เหลี่ยมตามเส้นทแยงมุม แล้วผูกเป็นโบว์ ติดเข้ากับเชือกที่คล้องคอ
ปัจจุบัน เนคไท และ หูกระต่าย ไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของ แฟชั่น อย่างเดียว หากคิดในอีกแง่ ผ้าผูกคอ ทั้งสองแบบ มีบทบาทในวงสังคมด้วย เพราะกลายเป็นสัญลักษณ์ แสดงความสุภาพเรียบร้อยในการแต่งกายตามแบบนิยม ชุดผู้ชายไปงานแต่งงาน และ ชุดผู้ชายแต่งออกงานปาร์ตี้
Cufflink : กระดุมข้อมือ . . คุณผู้ชาย คุณผู้หญิง หลายๆท่านคงยังสงสัยว่ามันคืออะไร ?
แล้วต้องใช้ เสื้อเชิ้ตแบบไหน ถึงจะใส่ Cufflink ได้ ? แล้วทำไมต้องใส่ กระดุมข้อมือ ด้วย ?
Cufflink ใส่แล้วจะดูหรูหราเกินหน้าเกินตาคนอื่นไปหรือเปล่า ? หรือคิดว่าคนอย่างเรานั้นไม่คู่ควรที่จะใส่มั้ย ?
Mr. AR ขอไขข้อข้องใจให้ คุณสุภาพบุรุษ คุณสุภาพสตรี หลายๆท่านที่เคยถามกันเข้ามาให้ได้ทราบกันถ้วนหน้านะครับ
ถ้าพูดคำว่า เครื่องประดับตกแต่งกายสำหรับผู้ชาย หรือ Men’s Accessories หลายๆท่านคงจะนึกถึง เนคไท , โบว์ไท , สร้อยคอ , สร้อยข้อมือ , แหวน , นาฬิกา , เข็มขัด , รองเท้า ฯลฯ ซึ่ง Cufflink ก็ถือเป็น เครื่องประดับตกแต่งกายสำหรับผู้ชาย กึ่งการใช้งาน ชนิดหนึ่งด้วยเช่นกัน โดย Cufflink จะทำหน้าที่ในการ เชื่อมปลายแขนเสื้อให้ติดกันแทนการใช้กระดุม ดังนั้นเสื้อเชิ้ตแขนยาวที่จะสามารถใส่ Cufflink ได้ จึงไม่ใช่เสื้อเชิ้ตแขนยาวทั่วไปที่เรามีกันเต็มตู้เสื้อผ้า เพราะมันไม่ได้มีรูไว้ใส่ Cufflink โดยส่วนใหญ่ตามหลักสากลจะนิยมใช้ เสื้อเชิ้ตแบบ French Cuff ซึ่งจะมีปลายแขนเสื้อแบบ พับเบิ้ลขึ้นมาอีกทบ หรือ Double Cuff และมี รู ไว้ใส่ Cufflink โดยเฉพาะครับ
ทีนี้หลายๆท่านคงจะมีคำถามว่า ทำไมต้องลงทุนลงแรงในการหา Cufflink มาใส่ด้วย ? ทั้งๆที่ทุกวันนี้หลายท่านอาจจะคิดว่าการแต่งกายของท่านก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เสื้อเชิ้ตแขนยาว ที่มีอยู่เต็มตู้ก็มีกระดุมติดปลายแขนเสื้ออยู่แล้ว แล้วทำไมต้องไปหาเสื้อแบบ French Cuff และ Cufflink มาใส่ให้ยุ่งยากหละ ?
เอาหละก่อนที่ผมจะตอบคำถาม อยากจะให้ท่านลองย้อนกลับไปคิดถึง เครื่องประดับต่างๆของท่านสักหน่อย ว่าท่านใส่สิ่งของเหล่านี้เพื่ออะไร ? ท่านใส่ นาฬิกา เรือนนั้นเพื่ออะไร ? ท่านใส่ แหวน วงนั้นเพื่ออะไร ? ฯลฯ ผมเชื่อว่าคำตอบจริงๆแล้วคงไม่ได้เป็นเพราะ Function ของมัน ท่านไม่ได้ใส่ นาฬิกาเรือนนั้น เพียงเพื่อ บอกแค่เวลา ท่านไม่ได้ใส่ แหวนวงนั้น เพียงเพื่อหาอะไรมาถ่วงนิ้วให้หนักเล่น แต่ท่านใส่ นาฬิกาเรือนนั้น และ แหวนวงนั้น เพื่อ “บ่งบอกความเป็นตัวท่าน” ไม่ว่าจะเป็นการ บ่งบอกสถานะทางสังคม , ตำแหน่งหน้าที่ , ฐานะการเงิน , บารมี , ความน่าเชื่อถือ ไปจนถึงนิสัยใจคอ และ อารมณ์ที่ท่านต้องการแสดงออกอีกด้วย
เสื้อเชิ้ตแบบ French Cuffที่จะนำมาสวมใส่ Cufflink ก็ต้องตัดเฉพาะตัวของผู้สวมใส่ผู้นั้นอีกด้วย ดังนั้น Cufflink จึงเป็นเครื่องประดับที่ช่วยให้ท่านแตกต่างจากคนทั่วไปที่ไม่ใช่ใครทั่วไปก็สามารถหามาใส่ได้ และ สามารถ เสริมความเป็นตัวท่าน หรือ เสริมในสิ่งต่างๆที่ท่านอยากจะแสดงออกให้คนอื่นรู้ ให้มี ความโดดเด่น และ ชัดเจนยิ่งขึ้น รูปแบบ Cufflink ที่ท่านจะนำมาใช้ ก็คือ รูปแบบที่ท่านต้องการจะเสริมความเป็นตัวท่าน
ถ้าเหตุผลเหล่านี้ยังจูงใจท่านไม่พอ หรือ ยังเห็นภาพไม่ชัดเจน ผมอยากจะยกตัวอย่างง่ายๆ ให้ท่านลองนึกภาพ
ผู้ชาย 2 คน :
คนแรก แต่งตัวโดยใส่เสื้อเชิ๊ตแขนยาวกางเกงสแล็ค แบบที่เราสามารถพบเห็นได้ทั่วไป
คนที่สอง แต่งตัวโดยใส่เสื้อเชิ๊ตแขนยาวกางเกงสแล็ค แต่ ผูกเนคไท และ ใส่ Cufflink เพิ่มเข้าไปด้วย
ท่านคิดว่า ถ้าท่านต้องการเลือกเจรจาธุรกิจด้วย คนไหนที่ ดูดี หรือ มีความน่าเชื่อถือ มากกว่ากัน ?
แล้วถ้าท่านต้องการ ดูดี หรือ มีความน่าเชื่อถือ ท่านคิดว่าควรจะแต่งตัวแบบผู้ชายคนแรกมั้ยครับ ?
Suspender : สายเอี๊ยม ภาษาอังกฤษแบบ American English จะเรียกว่า Suspender ส่วนภาษาอังกฤษแบบ British English จะเรียกว่า Brace คือ สายรัด ที่ทำจาก ผ้า หรือ หนัง สวมใส่โดยพาดบนบ่า เพื่อพยุงกางเกง สายรัดนี้ไม่จำเป็นต้องเป็นแถบยางยืดอย่างเดียว โดยทั่วไปจะมี แท็บหนัง เพื่อ ติดกับกระดุมกางเกง หรือ มีคลิปที่ส่วนปลาย เพื่อ หนีบกางเกงไว้ สายรัดส่วนใหญ่จะเป็นแบบ X หรือ Y ที่ด้านหลัง
มีหลักฐานว่า มีการสวมใส่สายเอี๊ยมมาแล้วกว่า 300 ปี แต่แบบโมเดิร์นมีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1822 โดย Albert Thurston ขณะที่ แฟชั่นสายเอี๊ยม นั้น In และ Out สลับวนกันไปมาในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา และแล้วมันก็กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งใน อเมริกา และ อังกฤษ เมื่อปี 2008 เมื่อมีภาพยนตร์แนวดราม่าย้อนยุคเรื่อง Brideshead Revisited ออกมาฉาย และยังมีหนังที่แต่งตัวเท่ห์ๆอีกมากมาย เช่น God Father , Great Gatsby , James Bond 007 , Kingsman นอกจากนี้ นักธุรกิจ นักข่าว และ ในบางสายอาชีพ อย่างเช่น นักกฎหมาย ล้วนแล้วแต่ใส่ สายเอี๊ยม แม้แต่ใน การ์ตูน Simpsons ที่ Lenny ในเรื่องก็ยังใส่ สายเอี๊ยมสีฟ้า ทับเสื้อเชิ้ตสีเขียว
สายเอี๊ยม ยังเป็นส่วนหนึ่งของ แฟชั่นสกินเฮด (Skinhead Fashion) และ แฟชั่นพั้งค์ (Punk Fashion) สายเอี๊ยมของทั้งสองแฟชั่นนี้ ในกลุ่มสกินเฮดบางกลุ่ม สี และ ตำแหน่งการสวมใส่ของสายเอี๊ยม อาจมีความหมายโดยนัยทางการเมืองด้วย
สายเอี๊ยมคุณภาพสูง มีไว้สำหรับ ชนชั้นกลาง และ ชนนั้นสูง และพวก White Collar หรือ แรงงานมืออาชีพที่ทำงานกินเงินเดือน หรือ แรงงานที่มีการศึกษา ซึ่งเป็นคำที่ใช้เรียกกันในชาวอเมริกัน